แม้ว่าทำเนียบแชมป์ ไทยลีก จะวนอยู่แค่กับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่ได้แชมป์ไป 7 สมัย จาก 10 ปีหลังสุด โดยจะมีแค่ เชียงราย ยูไนเต็ด, บีจี ปทุม ยูไนเต็ด และเมืองทอง ยูไนเต็ด สอดแทรกเข้ามาบ้าง แต่หากพูดถึงท็อปทีมในไทย เราก็อาจพูดได้ว่ามีอยู่ 5-6 ทีม ที่ต่อสู้กันได้สูสีอยู่พอสมควร 

ในฤดูกาลที่ผ่านมา หากตัดทีมแชมป์อย่าง ‘ปราสาทสายฟ้า’ และรองแชมป์อย่าง ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด ออกไป ทีมอันดับ 3 ถึงอันดับ 9 มีคะแนนห่างกันไม่ถึง 10 คะแนน ซึ่งฤดูกาลก่อนๆ ก็ไม่ต่างกัน ทำให้อาจจะเรียกว่าฟุตบอลไทย ก็มี ท็อป 4-5 ทีมได้เช่นกัน และทำให้การเจอกันระหว่างทีมใหญ่ สนุก เร้าใจ ไม่แพ้ฟุตบอลต่างประเทศ 

ในปีนี้หากจะยกทีมเต็งแชมป์ จากการเสริมทัพ และข่าวคราวต่างๆ นาๆ ขอยกให้มีเพียง 2 ทีมเท่านั้น ที่มีลุ้นแชมป์ ไทยลีก อันดับแรกก็เป็นแชมป์ของฤดูกาลที่ผ่านมาอย่าง บุรีรัมย์ พวกเขามีทรัพยากรที่ยอดเยี่ยมในทุกๆ ด้าน ผู้เล่นไทย สต๊าฟโค้ช และพวกเขาก็ยกระดับผู้เล่นต่างชาติที่อาจพอใช้ให้ดียิ่งขึ้น เช่นการปล่อยโจนาธาน โบลินกิ ที่ยิงไป 8 ประตู แล้วดึงตัว รามิล เชย์ดาเยฟ กองหน้าระดับที่เคยค้าแข้งกับ เซนิต เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก เข้ามายกระดับทีม 

หรือการได้นักเตะไทย อย่าง ลีออน เจมส์ ที่มีดีกรีเยาวชนของ เลสเตอร์ ซิตี้ เข้ามาแม้ว่ากองกลางของทีม จะเต็มไปด้วยตัวระดับทีมชาติ เป็นเครื่องหมายยืนยันว่าพวกเขาพร้อมที่จะยกระดับทีมต่อไปเรื่อยๆ และเดินหน้าคว้าแชมป์ให้ได้ทุกปี โดยเป้าหมายคงไปถึงในระดับเอเชียเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 

อีกหนึ่งทีมคือทีมที่ไม่ได้จบในระดับท็อปของฤดูกาลที่ผ่านมา และเดินมาด้วยผลงานที่น่าผิดหวังกับ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด หลังจากที่ฃจบด้วยอันดับที่ 9 หรือในอันดับครึ่งล่างของ ไทยลีก พ่ายแพ้ไปถึง 12 นัด ทำให้ ‘กระต่ายแก้ว’ ระดมทุมจัดหนักเพื่อกลับขึ้นไปอยู่ในจุดที่ที่ควรอยู่อีกครั้ง กับการสร้างทีมขึ้นมาใหม่ด้วยโค้ชคนไทยอย่าง ธงชัย สุขโกกี พร้อมดึงนักเตะชาวไทยที่เก่งที่สุดในเวลานี้กับ ‘ชนาคุง’ ชนาธิป สรงกระสินธ์ มาเสริมทัพด้วยค่าตัวเกือบ 100 ล้านบาท ทำให้พวกเขาขยับขึ้นกลายเป็นเต็งทันที 

แล้วทำไม ไทยลีก ฤดูกาลนี้จึงเหลือทีมเต็งแชมป์เพียงแค่ 2 ทีม แล้วทีมอย่าง การท่าเรือ เอฟซี, ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด หรือลีโอ เชียงราย ยูไนเต็ด ที่เคยคว้าแชมป์ไทยลีกมาแล้ว หายไปไหน คงต้องบอกว่าเรื่องงบประมาณมีผลเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการเสริมทัพ 

อันดับ 2 ของฤดูกาลที่แล้ว ‘แข้งเทพ’ พวกเขาเพียงได้ตัว บุญทวี เทพวงค์ เข้ามาเสริมทัพเพียงรายเดียวเท่านั้น ทั้งๆ ที่โปรแกรมการแข่งขันเหลืออีกเพียงไม่ถึง 2 อาทิตย์ เช่นเดียวกับ ‘กว่างโซ้งมหาภัย’ พวกเขาเสริมทัพแบบไม่ได้น่าลุ้นเอาเสียเลย ในโควต้าต่างชาติ เขาเลือก เฟลลิเป้ เวโลโซ กองหน้าบราซิลเข้ามาสู่ทีม ซึ่งในฤดูกาลที่ผ่านมาเล่นให้กับทีมในระดับ ไทยลีก 3 และยังไม่เคยเล่นในลีกระดับสูงสุดของไทยเลย 

บวกกับข่าวที่ทาง ‘บิ๊กฮั่น’ มิตติ ติยะไพรัช ออกมาเปิดเผยว่าทีมประสบปัญหาทางการเงิน และไม่ได้จ่ายเงินเดือนแบบเต็มเดือนในกับนักฟุตบอลมาร่วม 3 เดือน ทำให้แทบจะตัดชื่อทีมจากภาคเหนือทิ้งไปได้เลย

ต่อมามีอีก 2 ทีมที่เสริมทัพได้อย่างน่าสนใจคือ การท่าเรือ เอฟซี และชลบุรี เอฟซี ที่เสริมตรงจุด และได้นักเตะที่ชื่อชั้นยอดเยี่ยม ในรายของ ‘สิงห์เจ้าท่า’ ก็มีอย่าง ชาร์ลี คลัฟ หรือชานุกูล ก๋ารินทร์ ที่โชว์ผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในฤดูกาลที่ผ่านมา ส่วน ‘ฉลามชล’ ก็ได้ทั้งโค้ชชาวญี่ปุ่น มาโกโตะ เทกุระโมริ เข้ามาปรับปรุงทีม พร้อมเลือกดึงผู้เล่นอิมพอร์ตจากต่างประเทศเข้ามาใช้งาน ก็นับว่าน่าสนใจอยู่ไม่น้อย 

แต่สิ่งที่ทำให้ทั้งสองทีมไม่สามารถก้าวขึ้นไปเป็นทีมเต็งไล่ล่าแชมป์ได้ ก็อาจจะเป็นเรื่องของประสบการณ์ และความสม่ำเสมอ การท่าเรือ ในฤดูกาลที่ผ่านมาพวกเขาก็เสริมทัพจนเป็นที่ฮือฮา แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ และมีแววว่าปีนี้ก็จะซ้ำรอยต่อไป ด้านชลบุรี ก็ยังเลือกที่จะปั้นเยาวชนควบคู่ไปด้วย จนอาจจะขาดความเก๋าเกมยาวเวลาต้องเล่นในนัดสำคัญ 

ทำให้ในไทยลีก ฤดูกาล 2023/24 ทีมลุ้นแชมป์ก็คงจะหนีไม่พ้น บุรีรัมย์ หรือบีจี ปทุม แต่ทั้งหมดนี้คือการวิเคราะห์จากการเสริมทัพ และตัวผู้เล่นก่อนลีกตะเปิดฉากฟาดแข้งเท่านั้น ในโลกของฟุตบอลยังมีปัจจัยหลายอย่างที่ไม่อาจคาดเดาได้ เพราะทีมอย่าง เลสเตอร์ ซิตี้ ก็หักปากกานักวิเคราะห์ขึ้นไปชูถ้วยพรีเมียร์ลีก มาแล้ว 

เขียนโดย The Lite Team.